
ความหมายของสังคมความรู้ (Knowledge)
สังคมฐานความรู้ หมายถึง สังคมที่มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสารสนเทศสูง จากความรู้ที่มีบุคลากรทำงานโดยใช้ทักษะและความรู้สูง
ความสำคัญของสังคมความรู้
สังคมความรู้ก่อให้เกิดระบบของการผลิตสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ของชาติซึ่งถูกรวมเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกับเครือข่ายของการผลิต การเผยแพร่ การใช้ และการคุ้มครองความรู้ระหว่างประเทศ เครื่องมือทางเทคโนโลยีด้านข้อมูลและการสื่อสารของสังคมจะทําให้การเข้าถึงความรู้ของมนุษย์เป็นไปอย่างง่ายดายและเป็นไปในวงกว้างเพื่อให้ความรู้ถูกนํามาใช้เพื่อเพิ่มอํานาจและทำให้ประชาชนสุขสมบูรณ์ทั้งทางจิตใจและร่างกาย
นิยามของสังคมความรู้
สังคมความรู้ศึกษากระบวนการที่สังคมและความรู้มีการกระทำต่อกัน ทั้งผ่านทางประสบการณ์ การสังเกต การที่ความรู้นี้แพร่กระจายเพื่อนำมาใช้ประโยชน์
ความรู้ในเชิงปรัชญาว่าด้วยทฤษฎีความรู้
จำแนกได้เป็น ๔ ประเภท คือ (Tannenbaum : 2000)
๑. ความรู้เชิงประจักษ์ (Empirical Knowledge) เป็นความรู้เกิดจากการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า
๒. ความรู้เชิงวิเคราะห์ (Analytical Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากการใช้ตรรกะเป็นเครื่องมือในการอนุมานจากฐานความรู้ที่มีอยู่เดิม
๓. ความรู้เชิงทฤษฎี (Theoretical Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์ในลักษณะที่เป็นนามธรรม โดยการใช้สัญชาตญาณและการหยั่งรู้ ซึ่งรู้ความจริงได้โดยอาศัยจิตที่ได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
๔. ความรู้เชิงปทัสฐาน (Normative Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากการใช้ปทัสฐานและค่านิยมของสังคมเป็นตัวกำหนด ไม่สามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับเครื่องมือได้
มาตรฐานของสังคมความรู้
สังคมแห่งการเรียนรู้ มาตรฐานนี้มีตัวบ่งชี้หลัก ได้แก่
๑. มีการแสวงหา การสร้างและการใช้ประโยชน์ความรู้ ทั้งส่วนที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทศ เพื่อเสริมสร้างสังคมฐานความรู้
๒. มีการบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบโดยใช้หลักการวิจัยแบบบูรณาการ หลักการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หลักการสร้างเครือข่ายและหลักการประสานความร่วมมือรวมพลังอันนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้
แนวคิดเกี่ยวกับสังคมความรู้สังคม
ต้องมีความรู้เป็นฐาน เป็นความรู้ที่ใช้งานได้ ความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ สามารถเข้าถึงความจริงได้ ฉะนั้น สังคมที่สามารถจะเข้าถึงความจริงได้มีหลายชั้นมาก ถ้าเข้าถึงความจริงไม่ได้ไม่ถือว่ามีปัญญา แต่ถ้าเข้าถึงความจริงได้ไม่ว่าชั้นไหนก็ถือว่ามีปัญญาได้ระดับนั้นกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการกลุ่ม เมื่อมนุษย์เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ก็จะเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ เกิดความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ นั่นคือเกิดปัญญา ที่เป็นความสามารถในการเข้าถึงและเข้าใจสภาพความเป็นจริง ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนตนเองหรือแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไป บ่มเพาะเป็นความรู้ฝังลึกในตัวคนที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างสังคมฐานความรู้
ประเภทของความรู้
ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ
๑. ความรู้ฝังลึก (Implicit Knowledge) หมายถึง เป็นความรู้เฉพาะตัวที่เกิดจากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความเชื่อ เจตคติของแต่ละบุคคลเช่น วิจารณญาณ ความลับทางการค้า วัฒนธรรมองค์กร ทักษะ ความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ การเรียนรู้ขององค์กร เป็นต้น
๒. ความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาจากบุคคลด้วยการบันทึกในรูปแบบต่างๆเช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทำงาน ซอฟต์แวร์ เอกสาร และกลยุทธ์ เป้าหมายและความสามารถขององค์กร เป็นต้น
ระดับของความรู้
หากจำแนกระดับของความรู้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ
1. ความรู้เชิงทฤษฏี
2. ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท
3. ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล
4. ความรู้ในระดับคุณค่า ความเชื่อ
ระดับของความรู้
๑. ความรู้เชิงทฤษฏี (Know-What) เป็นความรู้เชิงข้อเท็จจริง รู้อะไร เป็นอะไร จะพบในผู้ที่สำเร็จการศึกษามาใหม่ๆ ที่มีความรู้โดยเฉพาะความรู้ที่จำมาได้จากความรู้ชัดแจ้งซึ่งได้จากการได้เรียนมาก แต่เวลาทำงาน ก็จะไม่มั่นใจ มักจะปรึกษารุ่นพี่ก่อน
๒. ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท (Know-How) เป็นความรู้เชื่อมโยงกับโลกของความเป็นจริง ภายใต้สภาพความเป็นจริงที่ซับซ้อนสามารถนำเอาความรู้ชัดแจ้งที่ได้มาประยุกต์ใช้ตามบริบทของตนเองได้ มักพบในคนที่ทำงานไปหลายๆปี จนเกิดความรู้ฝังลึกที่เป็นทักษะหรือประสบการณ์มากขึ้น
๓. ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล (Know-Why) เป็นความรู้เชิงเหตุผลระหว่างเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ผลของประสบการณ์แก้ปัญหาที่ซับซ้อน และนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น เป็นผู้ทำงานมาระยะหนึ่งแล้วเกิดความรู้ฝังลึก สามารถอดความรู้ฝังลึกของตนเองมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นหรือถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้พร้อมทั้งรับเอาความรู้จากผู้อื่นไปปรับใช้ในบริบทของตนเองได้
๔. ความรู้ในระดับคุณค่า ความเชื่อ (Care-Why) เป็นความรู้ในลักษณะของความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ที่ขับดันมาจากภายในตนเองจะเป็นผู้ที่สามารถสกัด ประมวล วิเคราะห์ความรู้ที่ตนเองมีอยู่ กับความรู้ที่ตนเองได้รับมาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้ เช่น สร้างตัวแบบหรือทฤษฏีใหม่หรือนวัตกรรม ขึ้นมาใช้ในการทำงานได้
องค์ประกอบของการจัดการความรู้
๑. บุคลากร ต้องเป็นบุคลากรที่มีความรู้ ซึ่งควรประกอบด้วยความสามารถ ดังนี้
๑.๑ ความสามารถในการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
๑.๒ ความสามารถในการคิดทำสิ่งใหม่ๆ
๑.๓ ความร่วมมือร่วมใจกับผู้อื่น
๑.๔ ความสามารถคิดเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ และ
๑.๕ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
๒. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีคุณภาพ มีการจัดและพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ การสนับสนุนและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ตลอดจนมีการปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัยพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานและการเรียนรู้
๓. ผู้นำแห่งการเรียนรู้ (Learning Leader) ภาวะผู้นำของผู้บริหารเป็นตัวจักรสำคัญในการพัฒนาโรงเรียน ซึ่งจะต้องพัฒนาความรู้ของตนเอง มีบุคลิกภาพของความเป็นผู้นำ เปิดโอกาสให้ผู้ตามมีอิสระในการทำงาน เป็นผู้นำแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพร้อมที่จะนำการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร
๔. ระบบการจัดการ (Management System) ระบบการจัดการที่เอื้ออำนวยที่เหมาะสม เน้นการมีส่วนร่วมและกระจายอำนาจ มีระบบและกลไกการนิเทศและการประกันคุณภาพภายใน
ทักษะในการจัดการสังคมความรู้
ทักษะการคิด
ทักษะการเขียน
ทักษะการอ่าน
ทักษะการพูด
ทักษะการฟัง
ทักษะการปฏิบัติ
รูปแบบการจัดการสู่สังคมความรู้
การจัดการให้เกิดการเรียนรู้
การจัดการให้เกิดองค์ความรู้
การจัดการให้เกิดการใช้ความรู้
การจัดการให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อแบ่งปันความรู้การจัดการให้เกิดขุมทรัพย์ความรู้
หลักการจัดการสังคมความรู้
๑ หลักการจัดการสังคมความรู้โดยทฤษฏี
- การปลูกฝังนิสัยรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- การถ่ายทอดความรู้
- การพัฒนาเพื่อการเรียนรู้
๒. หลักการจัดการสังคมความรู้โดยลงไปปฏิบัติ
- ทำให้ง่ายที่จะเรียนรู้และปฏิบัติ
- ทำให้รู้
- ทำให้รัก รักที่จะทำ เต็มใจทำ
แนวทางการนำไปใช้แนวทางการนำไปใช้มี ๖ ประการ ดังนี้
๑. ให้คนหลากหลายทักษะหลากหลายชีวิต ทำงานด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ มีเป้าหมายเดียวกัน
๒. ร่วมกันพัฒนาวิธีทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อบรรลุประสิทธิผลที่กำหนดไว้
๓. ทดลองและเรียนรู้เพราะเป็นกิจรรมสร้างสรรค์ถ้าได้ผลดีก็ขยายผลมากขึ้นจนได้วิธีการทำงานแบบใหม่
สังคมฐานความรู้ หมายถึง สังคมที่มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสารสนเทศสูง จากความรู้ที่มีบุคลากรทำงานโดยใช้ทักษะและความรู้สูง
ความสำคัญของสังคมความรู้
สังคมความรู้ก่อให้เกิดระบบของการผลิตสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ของชาติซึ่งถูกรวมเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกับเครือข่ายของการผลิต การเผยแพร่ การใช้ และการคุ้มครองความรู้ระหว่างประเทศ เครื่องมือทางเทคโนโลยีด้านข้อมูลและการสื่อสารของสังคมจะทําให้การเข้าถึงความรู้ของมนุษย์เป็นไปอย่างง่ายดายและเป็นไปในวงกว้างเพื่อให้ความรู้ถูกนํามาใช้เพื่อเพิ่มอํานาจและทำให้ประชาชนสุขสมบูรณ์ทั้งทางจิตใจและร่างกาย
นิยามของสังคมความรู้
สังคมความรู้ศึกษากระบวนการที่สังคมและความรู้มีการกระทำต่อกัน ทั้งผ่านทางประสบการณ์ การสังเกต การที่ความรู้นี้แพร่กระจายเพื่อนำมาใช้ประโยชน์
ความรู้ในเชิงปรัชญาว่าด้วยทฤษฎีความรู้
จำแนกได้เป็น ๔ ประเภท คือ (Tannenbaum : 2000)
๑. ความรู้เชิงประจักษ์ (Empirical Knowledge) เป็นความรู้เกิดจากการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า
๒. ความรู้เชิงวิเคราะห์ (Analytical Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากการใช้ตรรกะเป็นเครื่องมือในการอนุมานจากฐานความรู้ที่มีอยู่เดิม
๓. ความรู้เชิงทฤษฎี (Theoretical Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์ในลักษณะที่เป็นนามธรรม โดยการใช้สัญชาตญาณและการหยั่งรู้ ซึ่งรู้ความจริงได้โดยอาศัยจิตที่ได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
๔. ความรู้เชิงปทัสฐาน (Normative Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากการใช้ปทัสฐานและค่านิยมของสังคมเป็นตัวกำหนด ไม่สามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับเครื่องมือได้
มาตรฐานของสังคมความรู้
สังคมแห่งการเรียนรู้ มาตรฐานนี้มีตัวบ่งชี้หลัก ได้แก่
๑. มีการแสวงหา การสร้างและการใช้ประโยชน์ความรู้ ทั้งส่วนที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทศ เพื่อเสริมสร้างสังคมฐานความรู้
๒. มีการบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบโดยใช้หลักการวิจัยแบบบูรณาการ หลักการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หลักการสร้างเครือข่ายและหลักการประสานความร่วมมือรวมพลังอันนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้
แนวคิดเกี่ยวกับสังคมความรู้สังคม
ต้องมีความรู้เป็นฐาน เป็นความรู้ที่ใช้งานได้ ความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ สามารถเข้าถึงความจริงได้ ฉะนั้น สังคมที่สามารถจะเข้าถึงความจริงได้มีหลายชั้นมาก ถ้าเข้าถึงความจริงไม่ได้ไม่ถือว่ามีปัญญา แต่ถ้าเข้าถึงความจริงได้ไม่ว่าชั้นไหนก็ถือว่ามีปัญญาได้ระดับนั้นกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการกลุ่ม เมื่อมนุษย์เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ก็จะเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ เกิดความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ นั่นคือเกิดปัญญา ที่เป็นความสามารถในการเข้าถึงและเข้าใจสภาพความเป็นจริง ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนตนเองหรือแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไป บ่มเพาะเป็นความรู้ฝังลึกในตัวคนที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างสังคมฐานความรู้
ประเภทของความรู้
ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ
๑. ความรู้ฝังลึก (Implicit Knowledge) หมายถึง เป็นความรู้เฉพาะตัวที่เกิดจากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความเชื่อ เจตคติของแต่ละบุคคลเช่น วิจารณญาณ ความลับทางการค้า วัฒนธรรมองค์กร ทักษะ ความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ การเรียนรู้ขององค์กร เป็นต้น
๒. ความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาจากบุคคลด้วยการบันทึกในรูปแบบต่างๆเช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทำงาน ซอฟต์แวร์ เอกสาร และกลยุทธ์ เป้าหมายและความสามารถขององค์กร เป็นต้น
ระดับของความรู้
หากจำแนกระดับของความรู้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ
1. ความรู้เชิงทฤษฏี
2. ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท
3. ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล
4. ความรู้ในระดับคุณค่า ความเชื่อ
ระดับของความรู้
๑. ความรู้เชิงทฤษฏี (Know-What) เป็นความรู้เชิงข้อเท็จจริง รู้อะไร เป็นอะไร จะพบในผู้ที่สำเร็จการศึกษามาใหม่ๆ ที่มีความรู้โดยเฉพาะความรู้ที่จำมาได้จากความรู้ชัดแจ้งซึ่งได้จากการได้เรียนมาก แต่เวลาทำงาน ก็จะไม่มั่นใจ มักจะปรึกษารุ่นพี่ก่อน
๒. ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท (Know-How) เป็นความรู้เชื่อมโยงกับโลกของความเป็นจริง ภายใต้สภาพความเป็นจริงที่ซับซ้อนสามารถนำเอาความรู้ชัดแจ้งที่ได้มาประยุกต์ใช้ตามบริบทของตนเองได้ มักพบในคนที่ทำงานไปหลายๆปี จนเกิดความรู้ฝังลึกที่เป็นทักษะหรือประสบการณ์มากขึ้น
๓. ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล (Know-Why) เป็นความรู้เชิงเหตุผลระหว่างเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ผลของประสบการณ์แก้ปัญหาที่ซับซ้อน และนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น เป็นผู้ทำงานมาระยะหนึ่งแล้วเกิดความรู้ฝังลึก สามารถอดความรู้ฝังลึกของตนเองมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นหรือถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้พร้อมทั้งรับเอาความรู้จากผู้อื่นไปปรับใช้ในบริบทของตนเองได้
๔. ความรู้ในระดับคุณค่า ความเชื่อ (Care-Why) เป็นความรู้ในลักษณะของความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ที่ขับดันมาจากภายในตนเองจะเป็นผู้ที่สามารถสกัด ประมวล วิเคราะห์ความรู้ที่ตนเองมีอยู่ กับความรู้ที่ตนเองได้รับมาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้ เช่น สร้างตัวแบบหรือทฤษฏีใหม่หรือนวัตกรรม ขึ้นมาใช้ในการทำงานได้
องค์ประกอบของการจัดการความรู้
๑. บุคลากร ต้องเป็นบุคลากรที่มีความรู้ ซึ่งควรประกอบด้วยความสามารถ ดังนี้
๑.๑ ความสามารถในการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
๑.๒ ความสามารถในการคิดทำสิ่งใหม่ๆ
๑.๓ ความร่วมมือร่วมใจกับผู้อื่น
๑.๔ ความสามารถคิดเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ และ
๑.๕ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
๒. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีคุณภาพ มีการจัดและพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ การสนับสนุนและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ตลอดจนมีการปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัยพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานและการเรียนรู้
๓. ผู้นำแห่งการเรียนรู้ (Learning Leader) ภาวะผู้นำของผู้บริหารเป็นตัวจักรสำคัญในการพัฒนาโรงเรียน ซึ่งจะต้องพัฒนาความรู้ของตนเอง มีบุคลิกภาพของความเป็นผู้นำ เปิดโอกาสให้ผู้ตามมีอิสระในการทำงาน เป็นผู้นำแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพร้อมที่จะนำการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร
๔. ระบบการจัดการ (Management System) ระบบการจัดการที่เอื้ออำนวยที่เหมาะสม เน้นการมีส่วนร่วมและกระจายอำนาจ มีระบบและกลไกการนิเทศและการประกันคุณภาพภายใน
ทักษะในการจัดการสังคมความรู้
ทักษะการคิด
ทักษะการเขียน
ทักษะการอ่าน
ทักษะการพูด
ทักษะการฟัง
ทักษะการปฏิบัติ
รูปแบบการจัดการสู่สังคมความรู้
การจัดการให้เกิดการเรียนรู้
การจัดการให้เกิดองค์ความรู้
การจัดการให้เกิดการใช้ความรู้
การจัดการให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อแบ่งปันความรู้การจัดการให้เกิดขุมทรัพย์ความรู้
หลักการจัดการสังคมความรู้
๑ หลักการจัดการสังคมความรู้โดยทฤษฏี
- การปลูกฝังนิสัยรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- การถ่ายทอดความรู้
- การพัฒนาเพื่อการเรียนรู้
๒. หลักการจัดการสังคมความรู้โดยลงไปปฏิบัติ
- ทำให้ง่ายที่จะเรียนรู้และปฏิบัติ
- ทำให้รู้
- ทำให้รัก รักที่จะทำ เต็มใจทำ
แนวทางการนำไปใช้แนวทางการนำไปใช้มี ๖ ประการ ดังนี้
๑. ให้คนหลากหลายทักษะหลากหลายชีวิต ทำงานด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ มีเป้าหมายเดียวกัน
๒. ร่วมกันพัฒนาวิธีทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อบรรลุประสิทธิผลที่กำหนดไว้
๓. ทดลองและเรียนรู้เพราะเป็นกิจรรมสร้างสรรค์ถ้าได้ผลดีก็ขยายผลมากขึ้นจนได้วิธีการทำงานแบบใหม่
๔. นำความรู้จากภายนอกมาทำให้พร้อมใช้ในบริบทของเรา
๕. ผู้จัดการเรียนรู้ต้องรู้ว่าพนักงานแต่ละคนจำเป็นต้องรู้อะไรแล้วก็จัดให้ตรงกับความต้องการ
๖. ทำอย่างไรให้ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในตัวคน นำออกมาสู่ความรู้ที่เห็นได้ชัดให้ได้มากที่สุด
ประโยชน์ที่เกิดจากการนำไปใช้
จะได้รับการเผยแพร่ออกไปในรูปแบบใหม่ในการเข้าถึงความรู้ของประชาชนอย่างเท่าเทียมกันและการเข้าถึงข้อมูลไม่ควรจะเป็นรูปแบบใหม่รวมทั้งหากปราศจากวัฒนธรรม เราจะไม่สามารถเข้าใจความรู้ได้
จริยธรรมของสังคมความรู้
ความรู้และสังคมเป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกัน กล่าวคือต้องมีการประสานความร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของสังคม วิทยาศาสตร์และความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องคงความเป็น“มนุษย์” เมื่อเกี่ยวข้องกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงต้องมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมและรักษาวัฒนธรรม มรดกทางภาษา ตลอดจนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไป
ต้องมีจริยธรรมของโลกโดยส่วนรวม ร่วมอยู่ในพหุสังคมเพื่อให้ปัจเจกบุคคลดํารงอยู่ได้ในชุมชนระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และชาติ รวมถึงสามารถใช้ภาษาท้องถิ่นภาษาประจําชาติ และภาษานานาชาติด้วย การวิจัยในมุมมองของจริยธรรมจะต้องคํานึงถึงสิทธิและภาระที่จําต้องมีต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนพื้นผิวโลก
สรุป
สังคมฐานความรู้คือสังคมที่มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสารสนเทศสูง จากความรู้ที่มีบุคลากรทำงานโดยใช้ทักษะและความรู้สูงก่อให้เกิดระบบของการผลิตสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ของชาติซึ่งถูกรวมเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกับเครือข่ายของการผลิต การเผยแพร่ การใช้ และการคุ้มครองความรู้ระหว่างประเทศ เครื่องมือทางเทคโนโลยีด้านข้อมูลและการสื่อสารของสังคมจะทําให้การเข้าถึงความรู้ของมนุษย์เป็นไปอย่างง่ายดายและเป็นไปในวงกว้างเพื่อให้ความรู้ถูกนํามาใช้เพื่อเพิ่มอํานาจและทำให้ประชาชนสุขสมบูรณ์ทั้งทางจิตใจและร่างกายสังคมต้องมีความรู้เป็นฐาน เป็นความรู้ที่ใช้งานได้ ความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ กลุ่ม เมื่อมนุษย์เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ก็จะเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ เกิดความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ นั่นคือเกิดปัญญา ที่เป็นความสามารถในการเข้าถึงและเข้าใจสภาพความเป็นจริง ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนตนเองหรือแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไป บ่มเพาะเป็นความรู้ฝังลึกในตัวคนที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างสังคมฐานความรู้
๕. ผู้จัดการเรียนรู้ต้องรู้ว่าพนักงานแต่ละคนจำเป็นต้องรู้อะไรแล้วก็จัดให้ตรงกับความต้องการ
๖. ทำอย่างไรให้ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในตัวคน นำออกมาสู่ความรู้ที่เห็นได้ชัดให้ได้มากที่สุด
ประโยชน์ที่เกิดจากการนำไปใช้
จะได้รับการเผยแพร่ออกไปในรูปแบบใหม่ในการเข้าถึงความรู้ของประชาชนอย่างเท่าเทียมกันและการเข้าถึงข้อมูลไม่ควรจะเป็นรูปแบบใหม่รวมทั้งหากปราศจากวัฒนธรรม เราจะไม่สามารถเข้าใจความรู้ได้
จริยธรรมของสังคมความรู้
ความรู้และสังคมเป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกัน กล่าวคือต้องมีการประสานความร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของสังคม วิทยาศาสตร์และความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องคงความเป็น“มนุษย์” เมื่อเกี่ยวข้องกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงต้องมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมและรักษาวัฒนธรรม มรดกทางภาษา ตลอดจนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไป
ต้องมีจริยธรรมของโลกโดยส่วนรวม ร่วมอยู่ในพหุสังคมเพื่อให้ปัจเจกบุคคลดํารงอยู่ได้ในชุมชนระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และชาติ รวมถึงสามารถใช้ภาษาท้องถิ่นภาษาประจําชาติ และภาษานานาชาติด้วย การวิจัยในมุมมองของจริยธรรมจะต้องคํานึงถึงสิทธิและภาระที่จําต้องมีต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนพื้นผิวโลก
สรุป
สังคมฐานความรู้คือสังคมที่มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสารสนเทศสูง จากความรู้ที่มีบุคลากรทำงานโดยใช้ทักษะและความรู้สูงก่อให้เกิดระบบของการผลิตสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ของชาติซึ่งถูกรวมเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกับเครือข่ายของการผลิต การเผยแพร่ การใช้ และการคุ้มครองความรู้ระหว่างประเทศ เครื่องมือทางเทคโนโลยีด้านข้อมูลและการสื่อสารของสังคมจะทําให้การเข้าถึงความรู้ของมนุษย์เป็นไปอย่างง่ายดายและเป็นไปในวงกว้างเพื่อให้ความรู้ถูกนํามาใช้เพื่อเพิ่มอํานาจและทำให้ประชาชนสุขสมบูรณ์ทั้งทางจิตใจและร่างกายสังคมต้องมีความรู้เป็นฐาน เป็นความรู้ที่ใช้งานได้ ความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ กลุ่ม เมื่อมนุษย์เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ก็จะเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ เกิดความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ นั่นคือเกิดปัญญา ที่เป็นความสามารถในการเข้าถึงและเข้าใจสภาพความเป็นจริง ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนตนเองหรือแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไป บ่มเพาะเป็นความรู้ฝังลึกในตัวคนที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างสังคมฐานความรู้
Download